เมนู

อรรถกถาอุปสีวสูตร1ที่ 6


อุปสีวสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า เอโก อหํ ข้าพระองค์เป็นผู้เดียว ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มหนฺตโมฆํ คือ ห้วงน้ำใหญ่. บทว่า
อนิสฺสิโต ไม่อาศัย คือไม่อาศัยธรรมหรือบุคคล. บทว่า โน วิสหามิ คือ
ข้าพระองค์ไม่สามารถ. บทว่า อารมฺมณํ เครื่องหน่วงเหนี่ยวคือธรรมเป็นที่
อาศัย บทว่า ยํ นิสฺสิโต ได้แก่ อาศัยธรรมหรือบุคคล.
บัดนี้ เพราะพราหมณ์นั้นได้อากิญจัญญายตนะ จึงไม่รู้ธรรมเป็นที่
อาศัยแม้มีอยู่นั้น ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมเป็นที่อาศัย
และทางอันเป็นเครื่องนำออกไปให้ยิ่งขึ้นแก่เขา จึงตรัสคาถาว่า อากิญฺจญฺญํ
อากิญจัญญายตนสมาบัติ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เปกฺขมาโน แปลว่าเพ่ง คือมีสติเข้าอากิญ-
จัญญายตนสมาบัตินั้น และออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้วเห็นโดยความ
เป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า นตฺถีติ นิสฺสาย อาศัยว่าไม่มี คือทำสมาบัติ
ที่เป็นไปแล้วนั้นให้เป็นอารมณ์ว่า ไม่มีอะไร. บทว่า ตรสฺสุ โอฆํ ข้าม
ห้วงน้ำคือกิเลสเสียได้. คือข้ามโอฆะ 4 อย่างตามสมควร ด้วยวิปัสสนาอัน
เป็นไปแล้วตั้งแต่นั้นมา. บทว่า กถาหิ คือจากความสงสัย. บทว่า ตณฺหกฺขยํ
รตฺตมหาภิปสฺส
เห็นธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหาให้แจ่มแจ้งทั้งกลางคืน
กลางวัน คือจงเห็นนิพพานทำให้แจ่มแจ้งทั้งกลางคืนและกลางวัน. ด้วยบทนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างเป็นสุขในปัจจุบันแก่
อุปสีวมาณพนั้น.
1. บาลีเป็น อุปสีวปัญหา.

บัดนี้ อุปสีวมาณพครั้นได้ฟังว่า ละกามทั้งหลาย พิจารณาเห็นกาม
ที่ตนละได้แล้วด้วยการข่มไว้ จึงกล่าวคาถาว่า สพฺเพสุ ในกามทั้งปวง ดังนี้.
บทว่า หิตฺวา มญฺญํ1 ละสมาบัติอื่นเสียได้ คือละสมาบัติอื่น 6 อย่าง
ที่ต่ำกว่าอากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น . บทว่า สญฺญาวิโมกฺเข ปรเม น้อม
ใจลงในสัญญาวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง คือน้อมใจลงในอากิญจัญญายตนสมาบัติ
อันเป็นสัญญาวิโมกข์สูงสุดในบรรดาสัญญาวิโมกข์ 7 อย่าง. บทว่า ติฏฺเฐ นุ
โส ตตฺถ อนานุวายี
2 อุปสีวมาณพทูลถามว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่หวั่นไหว
พึงตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนพรหมโลกหรือหนอ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงรับรองการตั้งอยู่ประมาณ
60,000 กัป ของบุคคลนั้นจึงตรัสคาถาที่สาม. อุปสีวมาณพได้ฟังการตั้งอยู่
ในคาถาที่สามของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทูลถามความเป็น
สัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิ จึงกล่าวคาถาว่า ติฏฺเฐ เจ หากพึงตั้งอยู่ ดังนี้
เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปูคมฺปิ วสฺสานํ สิ้นปีแม้มาก คือสิ้นปีแม้
นับได้ไม่น้อย. ปาฐะว่า ปูคมฺนิ วสฺสานิ บ้าง. ในบทนั้นพึงทำฉัฏฐีวิภัตติ
ให้เป็นปฐมาวิภัตติ โดยเปลี่ยนแปลงวิภัตติ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปูคํ นี้
ควรแปลว่า มาก. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ปคานิ บ้าง. ปาฐะ ก่อนดี
กว่าปาฐะทั้งหมด. บทว่า ตตฺเถว โส สีติ สิยา วิมุตฺโต ผู้นั้นพึงพ้น
จากทุกข์ต่าง ๆ ในอากิญจัญญายตนพรหมโลกนั้นแล พึงเป็นผู้เย็น ความว่า
บุคคลนั้นพึงพ้นจากทุกข์ต่าง ๆ ในอากิญจัญญายตนพรหมโลกนั้นแล พึง
เป็นผู้ถึงความเย็น เป็นผู้เที่ยงที่จะบรรลุนิพพานตั้งอยู่. บทว่า ภเวถ
1. บาลีเป็น หิตฺวามญฺญํ, 2. ม.ยุ. อนานุยายี.

วิญฺญาณํ ตถาวิธสฺส วิญญาณของผู้เช่นนั้นพึงเกิด คือ อุปสีวมาณพ ถาม
ถึงความขาดสูญ ด้วยคำว่า หรือว่าวิญญาณของบุคคลเช่นนั้นพึงดับ เพราะไม่
ยึดมั่น, ถามถึงแม้ปฏิสนธิของบุคคลนั้น ด้วยคำว่า หรือว่าวิญญาณพึงมีเพื่อ
ถือปฏิสนธิอีก.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงถึงการปรินิพพาน
เพราะไม่ยึดมั่นของพระอริยสาวกผู้เกิดแล้วในอากิญจัญญายตนภพนั้นว่าไม่เข้า
ไปอาศัยอุจเฉททิฏฐิ และสัสสตทิฏฐิ แก่อุปสีวมาณพนั้น จึงตรัสคาถาว่า
อจฺจิ ยถา เหมือนเปลวไฟ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถํ ปเลติ คือถึงการตั้งอยู่ไม่ได้. บทว่า
น อุเปติ สงฺขํ ไม่ถึงการนับ คือพูดไม่ได้ว่า ไปสู่ทิศโน้น. บทว่า เอวํ
มุนิ นามกายา วิมุตฺโต
มุนีพ้นแล้วจากนามกายฉันนั้น คือ พระเสกขมุนี
ก็ฉันนั้น เกิดขึ้นแล้วในอากิญจัญญายตนภพนั้น พ้นจากรูปกายในกาล
ก่อนตามปกติแล้วยังมรรคที่ 4 ให้เกิดขึ้นในภพนั้น จึงพ้นแล้วแม้จากนามกาย
อีก เพราะกำหนดรู้นามกายเป็นพระขีณาสพผู้อุภโตภาควิมุต ย่อมเข้าถึงความ
ตั้งอยู่ไม่ได้ คือปรินิพพานด้วยอนุปาทาปรินิพพาน ย่อมไม่เข้าถึงการนับว่า
เป็นกษัตริย์ ดังนี้เป็นต้นฉันนั้น.
บัดนี้ อุปสีวมาณพได้ฟังว่า มุนีย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้แล้วเมื่อไม่เข้า
ใจความโดยแยบยลของบทนั้น จึงกล่าวคาถาว่า ตฺถํ คโต โส ท่านผู้นั้น
ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้.
บทนั้นมีความดังนี้ ท่านผู้นั้นถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ท่านผู้นั้นไม่มี
หรือว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้ไม่มีโรค เป็นผู้มีความไม่แปรปรวนไปเป็นธรรมดา

ด้วยความเป็นผู้เที่ยงเพราะเป็นสัสสตทิฏฐิ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ขอพระองค์
ได้โปรดตรัสพยากรณ์ความข้อนั้นให้สำเร็จประโยชน์แก่ข้าพระองค์เถิด. เพราะ
อะไร. เพราะว่าธรรมนั้นอันพระองค์ทรงรู้แจ้งแล้วแท้จริง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงเรื่องที่อุปสีวมาณพ
ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น จึงตรัสคาถาว่า อตฺถํ คตสฺส ท่านผู้ถึงความตั้งอยู่
ไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถํ คตสฺส ได้แก่ปรินิพพานเพราะไม่ถือ
มั่น. บทว่า น ปมาณมตฺถิ ไม่มีประมาณ คือไม่มีประมาณแห่งรูปเป็นต้น.
บทว่า เยน นํ วชฺชุ คือชนทั้งหลายพึงกล่าวท่านผู้นั้นด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น
ใด. บทว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ ได้แก่ธรรมมีขันธ์เป็นต้นทั้งปวง. บทที่เหลือ
ในทุกบทชัดดีแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรแม้นี้ด้วยธรรมเป็น
ยอดคือพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.
จบเทศนา ได้มีผู้ตรัสรู้ธรรม เช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วนั่นแหละ
ดังนี้แล.
จบอรรถกถาอุปสีวสูตรที่ 6 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

นันทปัญหาที่ 7


ว่าด้วยมุนีผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว


[431] นันทมาณพทูลถามปัญหาว่า
ชนทั้งหลายกล่าวว่า มุนีทั้งหลายมี
อยู่ในโลก ชนทั้งหลายกล่าวบุคคลว่าเป็นมุนี
นี้นั้น ด้วยอาการอย่างไรหนอ ชนทั้งหลาย
กล่าวบุคคลผู้ประกอบด้วยญาณ หรือผู้
ประกอบด้วยความเป็นอยู่ ว่าเป็นมุนี.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า
ดูก่อนนันทะ ผู้ฉลาดในโลกนี้ ไม่
กล่าวบุคคลว่าเป็นมุนี ด้วยความเห็น ด้วย
การฟัง หรือด้วยญาณ ชนเหล่าใดกำจัด
เสนามารให้พินาศแล้ว ไม่มีความทุกข์ ไม่
มีความหวัง เที่ยวไปอยู่ เรากล่าวชนเหล่า
นั้นว่าเป็นมุนี.
น. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า สมณ-
พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวความ
บริสุทธิ์ด้วยความเห็นบ้าง ด้วยการฟังบ้าง
ด้วยศีลและพรตบ้าง ด้วยมงคลตื่นข่าว
เป็นต้นเป็นอันมากบ้าง ข้าแต่พระผู้มีพระ-